‘พี่ทริน มาเที่ยวยูค่อนไหม ที่บ้านแฟนของฟรอย เดี่ยวพวกเราไปนอนเคบินในป่ากัน’ ผมตอบรับ พลางค้นหาคําว่า ‘Yukon’ ในอินเตอร์เน็ต เมื่อผมไปถึงเมือง whitehorse ที่อยู่ในอาณาบริเวณของพื้นที่อนุรักษ์ Yukon นั้น ครอบครัว Sealy พร้อมน้องสาวผมมารอรับที่สายพานซึ่งสนามบินที่นี้ให้อารมณ์คล้ายกับสถานีรถไฟหัวลําโพงของบ้านเรา “เหนื่อยไหม? นอนที่สนามบินเป็นยังไงบ้าง” แอนเดรีย แม่ของมาร์ตินแฟนน้องสาวผมถาม “แค่อย่าบอกแม่ของผมก็พอ” เราสองคนหัวเราะบทสนทนาที่ไหลลื่นภายใต้ความไม่คุ้นชินของภาษา โลกสวยงาม จนกระทั่งผมเดินออกจากสนามบิน “โอโห้ -33 องศาฯ หนาวฉิบหาย” “ก็บอกแล้วว่ามันหนาว” น้องสาวผมตะโกนไล่หลังมาทิวทัศน์แปลกตาเหมือนปุยเมฆลงมาคลุกกับดินเพื่อพลางตัว
บทสนทนาเริ่มขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวระหว่างที่พวกเราขับไปยังเส้นทาง Alaska highway “หิวหรือยัง เธอคงสงสัยเรื่องกลิ่นที่มันกําลังโชยจากทางด้านหลัง..โอ้วๆ ฉันลืมแนะนํา นั้นคือเจ้าหญิงของเรา ชื่อสฟิงซ์ และส่วนนี้คือ แชปปี้นักไล่หมี” แชปปี้คือหมาตลก และสฟิงซ์ คือแมวอ้วน “และกลิ่นนั้นคือไก่งวง เราจะทํามันกินกันคืนนี้”
เมื่อพวกเรา มาถึงเคบินที่อยู่บนเส้นทางหลวง Alaska highway โดยห่างไปจากสนามบินประมาณ 50 กว่ากิโลเมตร ไรอั้น ที่เป็นหัวหน้าของครอบครัว ซีลี่ ได้ออกมาทักทายและแนะนําตัวบุคลิกของไรอั้นนั้น ผิดกับตอนแรกที่ผมนึกไว้ คือ ตัวใหญ่ ไว้หนวดเยอะ ออกแนว lumberjack แต่เปล่าเลย ไรอั้นเป็นคนตัวเล็ก พูดน้อย ช้า และเนิบ วันนั้นไรอั้นเสนอไอเดียว่าจะพาพวกผมขี่สโนว์โมบิลไปเที่ยวยังอีกฝั่งของไฮเวย์ เพื่อเปิดหูเปิดตาระหว่างรออาหารค่ำ “วันนี้ฉันจะพาไปดูอีกฝั่งของถนน คุณเคยขี่สโนว์โมบิลไหม ฉันเพิ่งได้คันใหม่มา เพราะปีที่แล้วเราโดนคนขโมยไปคันนึง” ไรอ้ันหัวเราะ “โดนขโมย? คุณไม่ได้จอดไว้ในโรงรถเหรอ” “ตอนนั้นเราเอาไว้ข้างนอกเพราะคิดว่าคงไม่มีใครมาแถวนี้ อย่างรถเก๋งคันนี้เพื่อนบ้านมาฝากไว้ ตอนนี้ก็สี่ปีแล้ว เขายังไม่มาเอาคืนเลย ไม่รู้ว่าตายไปแล้วหรือยัง” เขาพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่มือกําลังแล่เนื้อควายไบซัน
หลังจากจัดของทุกอย่างเสร็จพวกเราก็พร้อมที่จะไปขี่สโนวโมบิลกัน อากาศข้างนอกไม่มีทีท่าว่าจะอุ่นขึ้นสักเท่าไร สีฟ้าเทาผสมปนเปกับสีขาวและเสียงลมที่ไพเราะ พร้อมกับความหนาวบาดกระดูกในขณะเดียวกัน เพลงที่เข้ามาในหัวผมอย่างไม่รู้ตัวคือเพลง Rosyln ของ Bon Iver ไม่ว่าจะทํายังไง ความคิดผมก็ไม่สามารถละเลยไปจากเพลงนี้ได้เลย มันเหมือนส่วนผสมของนมกับกาแฟที่รวมกันอย่างลงตัว พวกเราวางแผนว่าจะนั่งเล่นชมวิวกัน เมื่อไปถึงที่หมาย “นั่งเล่นชมวิว” ท่ามกลางอุณหภูมิ -30 องศาฯ! ตั้งต้นที่การก่อกองไฟด้วยกิ่งไม้แห้งแถวเรื่องนั้น และปิ้งไส้กรอกนั่งกินกัน แลกเปลี่ยนบทสนทนาถึงอาชีพไรอั้น ในหน้าหนาวนั้นไรอั้นเป็นแทรปเปอร์ คร่าวๆ เขาเป็นพรานล่าสัตว์ ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งไปล่าควายไบซันมา โดยกฏหมายของที่นี้ ในหนึ่งปี ครอบครัวนึงสามารถล่าควายไบซันหรือกวางมูสได้หนึ่งตัว และไม่สามารถขายเนื้อนั้นได้ แต่สามารถนํามาจกจ่าย หรือเก็บตุนไว้กินเอง ในการล่าครั้งนึงไรอั้นบอกว่าจะประหยัดเงินค่าซื้อเนื้อได้ปีนึงสองพันกว่าเหรียญเลยทีเดียว โดยขั้นตอนก่อนที่เขาจะล่าได้นั้น นักวิทยาศาสตร์ และนักชีววิทยาจะเป็นคนตัดสินว่าในปีนั้นๆ สามารถล่าได้ขนาดไหน และก่อนที่ไรอั้นจะล่าได้นั้น
ไรอั้นต้องได้รับแทคแจ้งจากสํานักงานที่ควบคุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากในปีนั้นกวางมูสหรือควายไบซันมีจํานวนน้อย หรือไม่ค่อยแข็งแรง จํานวนแทคที่ทางสํานักงานส่งออกไป เพื่อเป็นใบเบิกทางสําหรับการล่านั้นก็น้อยลง ทุกส่วนที่ล่าได้จะถูกใช้อย่างคุ้มค่า หากส่วนไหนไม่สามารถใช้ได้ ก็จะส่งคืนกลับให้ธรรมชาติ เพื่อเป็นอาหารของสัตว์อื่นต่อไป มาร์ตินกล่าวเสริมว่า นี้คือการเคารพธรรมชาติของเรา คนอื่นๆ ในดินแดน Yukon แห่งนี้ก็เช่นกัน หลังเสร็จจากการกินไส้กรอก และชมวิวนั้นพวกเราก็กลับไปยังที่พัก พร้อมกับความหนาวยะเยือกที่ไล่ตามหลังมาเมื่อกลับมาถึงเคบิน ท้องไส้เริ่มปั่นป่วนการมองหาห้องน้ําในเคบินเป็นอย่างแรกที่เริ่มทําเมื่อกลับมาจากปิคนิคบนลานหิมะ“ไรอั้น ห้องน้ําอยู่ตรงไหน?”“โอเค ฉันรู้แล้วว่าฉันลืมอะไร ฉันลืมบอกเธอเรื่องห้องน้ํา” ไรอั้นเริ่มแต่งตัว ใส่หมวก พันผ้าพันคอ “ห้องน้ําอยู่ข้างนอก แต่งตัวแล้วตามฉันมา” ไรอั้นยิ้มแล้วโบกมือ
ห้องน้ําที่เคบินนี้ เป็นห้องที่ไม่มีประตู มันเป็นหลุม ที่มีไม้มาครอบเป็นแท่นให้นั่ง และมีหลังคากันหิมะหล่นใส่หัวมีแผ่นสเตอโรโฟมเป็นแผ่นรองนั่ง ซึ่งยังดีเพราะมันไม่เย็น อุณหภูมิตอนนั้นเพิ่มมา 4-5 องศาฯ ความน่ากลัวคือไม่มีน้ําล้าง ‘หิมะ’ เป็นของไกล้ตัวที่สุด ตอนนั้นต้องกลั้นใจถูๆ ทําอย่างนั้นสองสามรอบใจจะสลาย มันทรมานมากถือว่าเป็นประสบการณ์เข้าห้องน้ําที่แปลกใหม่เหตุการณ์นึงค่ำของอีกวันไรอั้นเข้ามาถามผม “เฮ้ ทริน ไปดูเส้นทางที่ฉันวางกับดักกันไหม พรุ่งนี้คงใช้เวลาไม่นาน ประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง” …3 – 4 ชั่วโมง เมื่อนึกสภาพตอนที่ลมปะทะหน้าคราวที่ไรอั้นพาไปชมวิวฝั่งตรงข้ามของไฮเวย์ มันไม่ตลกเลยที่จะตากลมหนาวนั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่ด้วยความที่ว่าเกลียดอากาศร้อนเป็นทุนเดิม อากาศติดลบนี้เราคงต้องอยู่กับมัน เอาให้คุ้มเต็มที่ “แน่นอนอยู่แล้ว ผมไปด้วย” ภาพตัดมา ตอนนั่งอยู่บนสโนว์โมบิล “คิดผิด คิดผิดเหี้ยๆ” หน้าก้ม หลบอยู่ข้างหลังไรอั้น มือที่ไม่สามารถช่วยอะไรมันได้ ได้จับอยู่ที่ราวของรถเคลื่อนหิมะ “หนาว หนาวบัดซบ” เสียงเครื่องยนต์เร่ง ดังเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถกลบเสียงตะโกนข้างในได้เลยที่คิดผิดไม่ใช่เพราะคิดผิดที่มาด้วยแต่อย่างใดแต่มันคือการประเมินความเร็วของสโนวโมบิลน้อยไปการเตรียมเครื่องกันหนาวด้วยความประมาท ทั้งๆ ที่ไรอั้นเตือนแล้ว และความเร็วที่ไรอั้นขี่นั้นมันเทียบกับคราวแรกที่นั่งไม่ได้เลย ความเร็วขนาดทําให้รถเมล์สายแปดอันเลื่องลือที่บ้านเมืองของเราลอยขึ้นมาตรงหน้า
บนเส้นทางที่ไรอั้นพาไป เป็นเส้นทางที่มีไว้เฉพาะสโนว์โมบิลเท่านั้น มันเป็นเส้นทางวางกับดักเพื่อดักจับสัตว์โดยเป็นรูทเฉพาะของไรอั้น ไม่ว่าจะเป็นหมาป่า กระต่าย หรือแม้กระทั่งแมวใหญ่ (Lynx) ไรอั้นบอกว่า เขาต้องมาเส้นทางนี้ทุกๆ 3 วันในหน้าหนาว เพื่อที่จะเช็คว่าเขาได้อะไรมาบ้าง ซึ่งบางครั้งนั้นก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลยคราวนี้ก็เช่นกันที่เขาส่ายหัว “โชคดีของพวกเขา แต่โชคร้ายสําหรับพวกเรา” ก่อนกลับ ไรอั้นพาไปดูเคบินสีแดงเล็กๆ ที่ทําด้วยไม้ อาณาบริเวณรอบๆ แวดล้อมไปด้วยต้นไม้
และลําธารที่กลายเป็นน้ําแข็ง“มาร์ตินโตที่นี้ มันเป็นเวลาที่ลําบาก เพราะค่อนข้างอยู่ลึกขึ้น และไกลจากตัวเมืองมาก แต่พวกเราก็มีความสุข และมาร์ตินก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมาก พวกเรายังคงกลับมาเรื่อยๆ และทุกๆ ปี พ่อกับแม่ของฉันจะมาใช้เวลาส่วนตัวกันที่นี้ ในช่วงหน้าหนาว ตอนนี้คงไม่ต้องสงสัยแล้วว่าทําไมฉันมีสโนว์บิลตั้งสามคัน” ชายสองคนในป่าสีขาวหัวเราะ ไรอั้นล็อกประตูพลางหยิบถังแก๊สถังเล็กจากหลังบ้านสีแดงไปไว้บนรถลาก “โอ้วฉันว่าฉันลืมอะไร สุขสันต์วันคริสต์มาส
นะทริน” เวลา 6:00 นาฬิกาตอนเช้า ไรอั้นเข้ามาที่ห้องพร้อมกับความมืด ในมือถือไฟฉายส่องกบ “ทริน เรามีแสงเหนือข้างนอกเต้นระบําอยู่ออกไปดูกัน” คําพูดนั้นทําให้ผมปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้ขี้ตาและลองจอนที่กําลังเสียดสีขนตามร่างกายผมจะบอกว่า “เอ็งนอนต่อเหอะ” ก็ตาม ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมหน้าที่ไม่ได้ล้าง เดินออกไป งงๆ พร้อมกับคําถามว่า “ที่นี้มีด้วยเหรอวะ”
ออกไปข้างนอกด้วยอากาศสุดแสนจะบรรรยายมันอุ่นขึ้น เป็นความสุขที่ไม่สามารถบรรยายได้อากาศกําลังดี – 30 องศาฯ นิดๆ ไรอั้นชี้ให้ดูแสงเหนือข้างบน โอ้โห! สุดๆ แมร่งไม่เห็นอะไรเลย เพราะเมฆเยอะมาก เห็นเพียงแต่ลําแสงที่ไม่ใช่สีเขียว วิ่งบางๆ แต่ไม่นานมันก็ค่อยๆ ชัดขึ้น ชัดขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนนั่งฟังท้องฟ้าบรรเลงเพลงซิมโฟนี่ให้ฟัง เป็นเพลงที่ไม่มีเสียง มีเพียงจินตนาการที่ข้างบนมอบให้ แล้วเคลิ้มไปกับมัน “ดูไปดูมา มันก็เพลินแฮะ” เรานั่งอยู่ตรงนั้นประมาณเกือบยี่สิบนาที ไรอั้น ก็กลับเข้าไปเอาฟูกมาปูให้ พวกเรานอนอยู่ตรงนั้นเกือบชั่วโมง โดยที่แสงสีเขียวบางๆ ยังคงแหวกว่ายอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีจุดสิ้นสุด “เราควรไปเรียกคนอื่นมาดูไหม” ผมเสนอความคิดขึ้น “ฉันมีเรื่องจะเล่าให้เธอฟัง ตอนนั้นเราออกไปล่าสัตว์ ใช้เวลาอยู่ในป่าประมาณหนึ่งอาทิตย์ คืนก่อนสุดท้ายเราถูกฝูงหมาป่าตามมาเรื่อยๆ จากจุดเช็คพ้อยท์สุดท้าย เราไม่แน่ใจว่ามันได้กลิ่นเราหรือสัตว์ที่เราล่าได้ แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ อาจจะเป็นเพราะเราเริ่มกลับเข้ามาใกล้ highway คืนนั้น เราตั้งแคมป์กันแถวแม่น้ําแห่งนึงที่ยังไม่กลายเป็นน้ําแข็ง แอนเดรียหลับไปแล้วเหลือแต่ฉันที่ยังนอนไม่หลับ คืนนั้นฉันออกมานั่งข้างนอก ณ ข้างนอกตรงนั้น เบื้องหน้าเป็นแม่น้ำที่ใสราวกระจก มันสะท้อนทุกอย่าง แม้กระทั่งความมืดบนท้องฟ้า รวมไปถึงออโรร่าหลากสี มันสวยมาก บรรเลงอยู่แบบนั้นเกือบชั่วโมง มันทําให้ฉันไม่อยากลุกออกไปจากตรงนั้น เพราะกลัวว่ามันจะหายไปไม่วินาทีใดก็วินาทีนึง และฉันไม่อยากพลาดเหตุการณ์ที่สุดแสนวิเศษในชีวิตฉันไปสุดท้ายมันก็อยู่แบบนั้นเกือบชั่วโมง อย่าไปเล่าให้แอนเดรียฟังนะ เพราะเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้” พวกเราสองคนหัวเราะกันเสียงดัง “งั้นฉันควรไปปลุกน้องสาวของฉัน”
เช้าวันต่อมา ผมวางแผนไว้ว่าจะขึ้นไปยังเนินด้านหลังของเคบิน ซึ่งห่างไปประมาณ 40 นาที ด้วยการเดิน คืนก่อนหน้านั้นแอนเดรียแนะนําให้ลองพาแชปปี้ไปด้วย เพราะมันชอบเดินเล่นผมตื่นตั้งแต่เช้า เตรียมตัวพร้อมกล้อง และเครื่องหนาว จากนั้นผมก็เรียกแชปปี้ให้ไปด้วย แชปปี้หมาตัวเตี้ย มีสีดําทั้งตัว มันถูกเลี้ยงไว้ไล่หมี แชปปี้เป็นหมาที่ตื่นตัวตลอดเวลาโดยเฉพาะเมื่อเจอแสงหรืออะไรที่เป็นดวงๆ มันจะจ้องจนกว่าสิ่งนั้นจะหายไป ซึ่งมันจ้องได้เป็นชั่วโมง! แอนเดรียบอกว่าวันนึงของช่วงฤดูใบไม้ผลิสองปีที่แล้ว มีหมีเข้ามาในบริเวณเคบินหลังที่สามที่ติดทะเลสาปคนที่ไล่ไปไม่ใช่ใครเลย คือแชปปี้นี่เอง
เมื่อเริ่มออกเดิน ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนในหนังมาก เดินเข้าป่ากับหมาเพียงลําพัง มันให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว และเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แชปปี้เองมักจะเดินนําหน้าเสมอเสมือนรู้ว่าเรากําลังจะไปไหน จนมาถึงทุ่งโล่งและเสาไฟฟ้ากําลังสูง แชปปี้เริ่มกระสับกระสาย ดมนู่นดมนี่ จากนั้นมันหันหลังกลับแล้ววิ่งไปทันที ปล่อยผมยืนงงอยู่พักใหญ่ และด้วยความเป็นห่วง ผมจึง
ตัดสินใจหันหลังเดินกลับ ทั้งๆ ที่ใจอยากเดินไปข้างหน้ามากกว่า (ซึ่งมาตอนหลังแอนเดรียบอกว่าไม่ต้องห่วงแชปปี้หรอก มันสบายมากที่จะกลับมาเอง) พอถึงเคบินและพาแชปปี้เข้าบ้านเรียบร้อย ผมจึงตัดสินใจเดินกลับไปยังที่ที่ตั้งใจจะไปอีกครั้ง
เมื่อไปถึงบนเนินนั้น วิวข้างหน้านั้นสุดแสนจะบรรยาย…เพราะแดดไม่มี “เวรกรรม เดินมา 40 นาที เพื่อมาดูเมฆสีเทา”แต่กระนั้นก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างตรงที่ยังพอเห็นแสงแดดลอดมาเป็นช่วงๆ เลยตัดสินใจยืนรอจนเวลาผ่านไปประมาณ 3 ชั่วโมง ท่ามกลางลมหนาว เพื่อลุ้นให้พระอาทิตย์ขึ้นโผล่พ้นเมฆพอดีจนสุดท้ายคาดว่าผลบุญคงใช้หมดไปกับแสงเหนือเมื่อคืนแล้ว จึงมีเพียงลําแสงสีทองที่โผล่มาให้เห็นชั่วขณะเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ในขณะที่เดินลงจากเขา ผมก็เหลือบไปเห็นรอยเท้าของอะไร
สักอย่าง ซึ่งน่าจะเป็น Lynx หรือแมวป่า ผมจึงถ่ายรูปไปให้ไรอั้นดู“ฉันก็ว่าทําไมแชปปี้มันกลับมาและไม่ยอมไปต่อมันคงฉลาดพอที่จะไม่สู้หมาป่าทั้งฝูง ยูอาร์โซลัคกี้นะเนี่ย สงสัยมันคงตามกลิ่นบีเวอร์ที่ฉันจับมาได้” ไรอั้นหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “อีแชปปี้ ขอบคุณที่ทิ้งฉันไว้กลางทาง” คืนและวันสุดท้ายที่ไร้ไฟฟ้าเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว ครอบครัว Sealy วางแผนจะไปค้างเคบินหลังที่ลึกที่สุด ห่างจากเคบินเดิมที่เราพักอยู่ไปประมาณ 30 กิโลฯ โดยต้องเดินทางต่อประมาณสี่ชั่วโมง พวกเราออกเดินทางกันตอนเวลาบ่ายสองโมง กว่าจะไปถึงก็หกโมงเย็นกว่าๆ พวกเราผ่านเส้นทางที่ไรอั้นได้วางกับดักไว้ โดยคราวนี้ไรอั้นได้หมาจิ้งจอกและแมวใหญ่ติดมือมาด้วย เมื่อพวกเราไปถึงเคบินบริเวณริมแม่น้ําที่กลายเป็นน้ําแข็ง ไรอั้นก็จัดการเตรียมข้าวของและจัดอุปกรณ์อะไรบางอย่าง“เธอกลัวเลือด หรืออะไรเทือกๆ นี้ไหม”“ไม่เลย ผมสบายมาก เพราะตามพ่อเข้าห้องผ่าตัด.
It leaves you speechless,
then turns you into a storyteller.
ตั้งแต่เด็ก” “โอเค วันนี้เราจะมีการถลกหนังพวกนี้เล็กน้อย” เริ่มต้น ไรอั้นขึงหมาจิ้งจอกที่พวกเขาจับมาได้พร้อมผูกติดไว้กับเชือก โดยห้อยหัวมันลง และบนพื้นนั้นมีกระดาษไว้รองรับหยดเลือดจากตัวหมาจิ้งจอกอีกที “ฉันต้องค่อยๆ ทํา มีคราวนึงฉันพลาดเผลอไปตัดโดนเส้นเลือดใหญ่ของเจ้าตัวนี้ ทุกอย่างเลยทะลักออกมาเลือดกองเต็มไปหมดไม่น่าดูเอาซะเลย” ผมเริ่มดูไรอั้นถลกหนังตั้งแต่หางจรดหัว จากสิ่งที่เราเคยอยากสัมผัสมันตลอดเมื่อยามมีหนังนั้น ตอนนี้มันคือตัวอะไรก็ไม่สามารถทราบได้รุ่งขึ้นไรอั้นตื่นขึ้นมาปรุงอาหารให้เราจากเนื้อแมวใหญ่เมื่อคืนที่ล่ามาได้ พร้อมกับเนื้อควายไบซันที่ตากแห้งไว้ พวกเรากินกันอย่างง่ายๆ พอให้อยู่ท้อง จากนั้นเด็กๆ ก็ชวนกันไปขี่สโนว์โมบิล (ซึ่งให้อารมณ์เหมือนขับซาเล้งบ้านเรายังไงยังงั้น) “ขับยากไหม” “ไม่เลย แค่บิด แล้วก็มองข้างหน้า และอย่าลืมเบรค!” พวกเราสนุกมาก กับความเร็วบนธารน้ําแข็งโดยมีแชปปี้วิ่งตามขนาบข้างหลังจากนั้นผมทราบมาว่า ทั้งสองคนไม่เคยมีรูปคู่กันเลย ผมเลยเสนอตัวเป็นช่างภาพถ่ายให้เขาทั้งสอง พวกเขาพาผมมุ่งหน้าไปยังเนินเขาทางด้านหลังเคบิน โดยมีแชปปี้เดินมาด้วย ผมเริ่มต้นถามทั้งสองว่า“แสดงว่าคุณมาแถวนี้ได้แค่ช่วงหน้าหนาวสิแล้วยังงี้ถ้าน้ําแข็งละลายจะทํายังไง” “เมื่อก่อนเราเดินนะ และใช้เวลานานมาก แต่เดี๋ยวนี้เราใช้เครื่องบินมาจอดบนน้ํา และจะมาเมื่อคราวจําเป็นเท่านั้น” พวกเขาสองคนในสายตาของผม ยังคงเหมือนคู่รักที่พึ่งรักกันใหม่ๆ รอยยิ้มพวกเขาตอนมองดูลําธารน้ําแข็งข้างหน้ามันให้ความรู้สึกว่าพื้นที่แห่งนี้คือสายธารแห่งชีวิตและครอบครัวของเขา พวกเขาห่วงแหนมัน
“เฮ้ พวกคุณ มายืนตรงนี้หน่อยนี้จะเป็นภาพคู่ใบแรกของพวกคุณ และของผม” คืนสุดท้ายที่ whitehorse พวกเขาพาผมเข้าไปพักที่บ้านในเมืองเพื่อความสะดวกในการไปที่สนามบินในตอนเช้า วันนั้นถึงอากาศจะอุ่นขึ้นแต่หิมะยังคงก่อตัวอยู่เช่นเดิมดั่งวันแรกที่ผมมาถึงคืนนั้นเป็นวันเกิดของไรอั้นพอดี พวกเราจึงไปเลี้ยงฉลองวันเกิดไรอั้นกันที่ร้านพิซซ่าดั้งเดิมในเมืองแห่งหนึ่ง
“สุขสันต์วันเกิดไรอั้น” พวกเรากล่าวขึ้นพร้อมรูทเบียร์ที่อยู่ในมือ”ขอบคุณ จริงๆ แล้วมันก็คือวันธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อพวกคุณอยู่ วันนี้จึงไม่ธรรมดา”
รุ่งเช้า แอนเดรีย ไรอั้น และมาร์ติน ไปส่งผมที่สนามบินบทสนทนาเราไม่ได้มีมากมายเท่าวันแรกมีเพียงแค่การกอดที่ยาวนานเท่านั้นที่แทนความหมายของช่วงเวลาที่ผมอยู่ที่นั่น มิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างกัน มันคงไม่คล้ายกับหิมะที่สามารถละลายหายไปตามช่วงฤดูกาล หรืออาจจะคล้ายเพียงเพราะเรายังต้องเจอกันอีกไม่ช่วงเวลาใดก็เวลาหนึ่ง “ขอบคุณสําหรับทุกอย่าง”
รอยยิ้มและการโบกมือลามักเป็นการเริ่มต้นของอะไรสักอย่างเสมอ